ประวัติการศึกษาศิลปวัฒนธรรมล้านนา

การประพันธ์และขับขานเพลงพื้นบ้านล้านนา: 
     สนั่น ธรรมธิได้รับการถ่ายทอดการขับขานมาจากมารดาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจาะเป็นการจ๊อย ซอ คร่าว หรือแม้กระทั่งทำนองการเทศน์ของพระ เนื่องจากตาเป็นมัคคทายกของตำบลจึงทำให้สนั่นได้มีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้ท่วงทำนองการเทศน์มหาชาติอยู่เป็นประจำจนเกิดความประทับใจในบรรยากาศวัดและพิธีทางศาสนาตั้งแต่นั้นมา นอกจากการขับขานแล้ว สนั่นยังได้รับการถ่ายทอดอักษรธรรมล้านนาจากมารดาด้วยซึ่งจะเป็นพื้นฐานในงานวิชาการในอนาคต จนมาถึงสมัยเป็นนักศึกษาปริญญาตรีซึ่งสนั่นได้รับการถ่ายทอดการขับขานเพลงพื้นบ้านจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พะยอมยงค์(ศิลปินแห่งชาติ) 


การศึกษาด้านอักษรศาสตร์และล้านนาคดี:
     สนั่น ธรรมธิ ได้รับการถ่ายทอดการอ่านเขียนอักษรล้านนาจากคุณปู่(หนุน ธรรมธิ) และคุณตา(มูล นวลตา)  ได้เริ่มศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตั้งแต่เป็นนักศึกษาปริญญาตรีจากการออกเดินทางเก็บข้อมูลของชมรมพื้นบ้านล้านนา มช และจากงานวิจัยร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดิเรกชัย มหัทธนะสิน หลังจากนั้นได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาภาษาและวรรณกรรมล้านนา ซึ่งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านล้านนาคดีจาก ศาสตราจารย์ ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี

การศึกษาด้านดนตรีและศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนา 
     ในวัยเด็กได้รับการถ่ายทอดวิชาการฟ้อนดาบจากช่างตีเหล็กข้างบ้าน(นวล วรรณแดง) ซึ่งช่างตีเหล็กคนนี้เป็นครูเชิง(แม่ไม้) ในคืนเดือนหงายมักจะสอนเชิง โดยเฉพาะเชิงไม้ค้อน(พลอง) และเชิงดาบให้แก่ลูกหลานเป็นประจำ สนั่นตอนนั้นไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ฝึกร่วมกับเขาเพราะตัวเล็กกว่าเพื่อน และมักจะถูกเด็กที่โตกว่ากลั่นแกล้งรังแกเป็นประจำ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเรียน จึงขออาสาสูบส่า(สูบเร่งไฟ)ให้ช่างตีเหล็ก ช่างก็สอนเชิงให้บ้างในช่วงพักงาน เมื่อพอเรียนจนฟ้อนได้บ้าง ก็เริ่มออกงานเทศกาลต่างๆ ซึ่งมักจะได้รับคำชมเชยจากผู้ใหญ่และผู้ชมอยู่เสมอ และในวัยเด็กนั้น น้าสาวที่เป็นช่างฟ้อน มักจะพาไปเป็นเพื่อนเมื่อไปหัดฟ้อนเล็บที่วัด จึงได้มีโอกาสได้สัมผัสกับฆ้องกลองฉาบซึ่งเป็นเครื่องใช้ตีในการประกอบจังหวะฟ้อนจนเกิดความประทับใจ ถึงขั้นเมื่อวันใดไม่ได้ไปวัด ก็มักจะชวนเพื่อนๆเล่นแห่ฆ้องกลองจนถูกผู้ใหญ่ดุว่าเฆี่ยนตีสั่งสอนเป็นประจำ

     แววศิลปินของ สนั่น ธรรมธิ มาฉายเด่นชัดเมื่อเข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย โดยศึกษาในคณะศึกษาศาสตร์ ได้สมัครเป็นสมาชิกชมรมนาฏศิลป์และดนตรีไทย สโมสรนักศึกษาของมหาวิทยาลัย โดยฝึกเล่นดนตรีพื้นเมือง  และได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าวงดนตรีพื้นบ้านล้านนาที่ชื่อว่าวง “ไกลบ้าน”  ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักศึกษาที่มาจากส่วนต่างๆในภาคเหนือและมีหัวใจรักและมุ่งมั่นในการสืบทอดศิลปวัฒนธรรมล้านนา

  ในปี พ.ศ.๒๕๒๗ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้มีงานฉลองครบรอบ ๒๐ ปีของมหาวิทยาลัย งานแสดงครั้งนั้นทางมหาวิทยาลัยต้องการเน้นให้เป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคเหนือ จึงได้เชิญ พ่อครูคำ กาไวย์ และพ่อครูวิเทพ กันธิมา ไปถ่ายทอดวิชาให้แก่นักศึกษาชมรมนาฏศิลป์และดนตรีไทย สนั่น จึงได้มีโอกาสได้เรียนรู้เพิ่มเติมในด้านศิลปะการฟ้อนดาบ การตีกลองสะบัดชัย กลองปู่เจ่ กลองมองเซิง กลองตึ่งนง การเป่าปี่ชุม การเป่าแน เป็นต้น

     เมื่องานแสดงผ่านไปจึงมีความคิดว่าศิลปะการแสดงและเพลงพื้นบ้านล้านนาในภาคเหนือคงไม่มีเฉพาะที่ได้เรียนมาเท่านี้ คงยังมีส่วนที่ไม่ได้เผยแพร่อยู่อีกเป็นจำนวนมาก จึงได้ชักชวนพรรคพวกเสนอขออนุมัติโครงการสำรวจศิลปะพื้นบ้านภาคฤดูร้อนซึ่งได้รับอนุมัติและออกสำรวจได้เฉพาะที่จังหวัดเชียงรายเพราะมีเวลาจำกัด ถึงกระนั้นก็ตาม สนั่นและคณะก็ได้ข้อมูลจากหลายท้องที่ ที่แน่นอนก็คือได้ทราบประวัติความเป็นมาของฟ้อนสาวไหมโดยละเอียด ได้ศึกษาการเล่นพิณเพียะจากพ่อครูคำแปง โนจา และได้แนวทางการบรรเลงเพลงพื้นบ้านของจังหวัดเชียงรายอีกหลายเพลง

  ในปีต่อมา พ.ศ.๒๕๒๘ สนั่น และสมาชิกวงดนตรีพื้นเมืองต่างมีความคิดตรงกันว่าศิลปะพื้นบ้านล้านนายังมีอีกมากมายและไม่ได้หมายถึงการแสดงและดนตรีเท่านั้น หากแต่ยังมีประวัติศาสตร์ ประเพณี และวัฒนธรรม ภาษาและวิถีชีวิตที่ต้องศึกษาโดยผ่านกระบวนการทางวิชาการอย่างกว้างไกลและถ่องแท้ ลำพังจะมาทำกิจกรรมเฉพาะเล่นดนตรีแล้วไปแสดงตามงานต่างๆนั้น ดูจะเป็นกิจกรรมที่คับแคบและเกิดประโยชน์น้อยไป จึงเห็นสมควรจัดตั้งชมรมขึ้นใหม่เพื่อขยายขอบเขตของกิจกรรมให้กว้างออกและทำให้เป็นศูนย์กลางของการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมล้านนา ดังนั้นสนั่นและคณะจึงทำเรื่องขออนุมัติจากมหาวิทยาลัยจนได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งชมรมใหม่ขึ้นคือ “ชมรมพื้นบ้านล้านนา” สังกัดสโมสรนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่




     หลังจากนั้นจึงก่อตั้ง “ชมรมพื้นบ้านล้านนา” สนั่นและเหล่าเพื่อนๆนักศึกษาด้วยกันจะแยกย้ายกันออกไปเรียนกับพ่อครูแม่ครูตามพื้นที่ต่างๆ ในช่วงปิดเทอม และนำองค์ความรู้กลับมาแลกเปลี่ยนเพื่อนสมาชิกด้วยกัน เช่น งานแรกได้ออกสำรวจท้องที่อำเภอสะเมิง ได้พบกับศิลปะการฟ้อนพื้นบ้านอย่างหนึ่ง “ฟ้อนเมืองก๋ายลาย” จึงได้นำมาเผยแพร่ ต่อมาฝึกฝนสมาชิกชมรมให้มีความชำนาญแล้วทดสอบฝีมือโดยการออกแข่งขันในงานประกวดการเล่นดนตรีตามงานต่างๆที่มีโอกาส และในปี พ.ศ.๒๕๒๙ นับเป็นครั้งแรกที่วงน้องใหม่ของนักศึกษา มช ได้แข่งขันกับวงดนตรีที่มากประสบการณ์และชาญสนาม ผลปรากฏว่าได้รับรางวัลชนะเลิศมาโดยตลอด ซึ่งการยิ่งชนะมากครั้งยิ่งทำให้เกิดความฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น จนสามารถเอาชนะวง “ซอมพอหลวง” ซึ่งเป็นวงที่แข็งแกร่งที่สุดมาแต่อดีต วงนี้มีเจ้า “อุดม ณ เชียงใหม่” เป็นหัวหน้าวง ซึ่งท่านเล่นสะล้อเป็นเครื่องนำวง ด้วยฝีมือที่เป็นเลิศจึงได้รับการบันทึกเทปจำหน่ายเผยแพร่ในนาม “เอื้องล้านนา” อันลือลั่นจนเป็นที่รู้จักกว้างขวางมาจนถึงปัจจุบัน จากนั้นได้เสนอโครงการออกค่าย “วัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชีวิต”เพื่อให้สมาชิกได้มีโอกาสสัมผัสกับวัฒนธรรมพื้นบ้านและบำเพ็ญประโยชน์ไปด้วย โครงการนี้ได้จัดให้มีต่อเนื่องมาทุกปีการศึกษา อย่างไรก็ตาม คุณภาพของงานแสดงต่างๆก็มิได้ย่อหย่อนลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะฝ่ายการละเล่นซึ่งมีสนั่นเป็นหัวหน้าฝ่ายอยู่ ก็ได้พัฒนาให้มีคุณภาพอยู่เสมอทั้งการแสดงดนตรี เพลงร้อง งานละครเวที และการแสดงพื้นบ้าน

  สนั่นได้รับการถ่ายทอดทั้งศาสตร์และศิลป์จากปูชนียาจารย์ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้
ด้านดนตรี
  พ่อครูวิเทพ กันธิมา จังหวัดเชียงใหม่ : เรียน ซึง ปี่ชุม  ในปี ๒๕๒๗
  พ่อครูแปง โนจา จังหวัดเชียงราย : เรียน พิณเพียะ ในปี ๒๕๒๙
     พ่อครูไชยลังกา เครือเสน(ศิลปินแห่งชาติ)  จังหวัดน่าน: เรียน ซึง ในปี ๒๕๓๒



ศิลปะการแสดง
     พ่อครูคำ กาไวย์ (ศิลปินแห่งชาติ) จังหวัดเชียงใหม่: เรียนกลองสะบัดชัย ฟ้อนดาบ ในปี  ๒๕๒๗
     พ่อครูจรัล ศรีวิชัย จังหวัดเชียงราย : เรียนฟ้อนดาบ ในปี ๒๕๒๙
     พ่อครูคำสุข ช่างสาร จังหวัดเชียงใหม่ : เรียนฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิงมือ  เจิงไม้ค้อน ในปี ๒๕๒๙
  แม่ครูบัวเรียว รัตนมณีภรณ์ (ศิลปินแห่งชาติ) จังหวัดเชียงราย : เรียนสาวไหมลายเจิง ในปี ๒๕๒๙
  พ่อครูอรุณ สุวรรณรังสี จังหวัดเชียงใหม่ : เรียนฟ้อนดาบ ในปี ๒๕๓๐
  พ่อครูมานพ ยาระณะ (ศิลปินแห่งชาติ) จังหวัดเชียงใหม่ : เรียนกลองสะบัดชัยโบราณ ในปี ๒๕๓๐
  พ่อครูปุก นิปุนะ จังหวัดเชียงใหม่ : เรียนฟ้อนเจิง ในปี ๒๕๓๐
  พ่อครูกัญไชย กรมธนา จังหวัดน่าน : เรียนสาวไหมลายเจิง ในปี ๒๕๓๒





Comments

Popular posts from this blog

ประวัติการทำงาน

ประวัติการศึกษา